เฝ้าเดี่ยววันที่ 27 - เอเฟซัส 5:1-14
เฝ้าเดี่ยววันที่ 27 - 25 เมษายน 2560
เอเฟซัส 5:1-14
5 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรักเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เองเพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอมและเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
3 แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศและความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสมสำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า 4 ทั้งอย่าพูดหยาบโลนลามก เฮฮาไร้สาระ หรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า 5 ท่านแน่ใจได้เลยว่าคนผิดศีลธรรม คนไม่บริสุทธิ์ หรือคนโลภ คนเช่นนี้เป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ เขาจะไม่ได้รับมรดกใดๆ ในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า[a] 6 อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยวาจาไร้สาระ เพราะเนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้นพระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง 7 ฉะนั้นอย่าเป็นหุ้นส่วนกับคนเหล่านั้นเลย
8 เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง 9 (เพราะผลของความสว่างประกอบด้วยความดีทั้งปวง ความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น) 10 จงหาให้พบว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 อย่าเข้าส่วนใดๆ กับกิจกรรมของความมืดอันไร้ผล แต่จงเปิดเผยการเหล่านั้นดีกว่า 12 เพราะเพียงเอ่ยถึงสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟังแอบทำกันนั้นก็ยังน่าอาย 13 แต่ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผยโดยความสว่างก็เห็นกันแจ่มแจ้ง 14 เนื่องจากความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า
เอเฟซัส 5:1-14
การมีความประพฤติที่เหมาะสมกับพระเจ้า เพราะเราต้องเลียนแบบพระเจ้า
พระเจ้าเรียกร้องชีวิตของเรา ให้เลียนแบบพระเจ้า สมกับเป็นบุตรที่รักของพระองค์ แน่นอนเป็นมาตราฐานที่สูง แต่ถ้าพระเจ้าเรียกเราและให้เรากระทำ แปลว่าพระเจ้ารู้ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อที่จะให้ถึงมาตราฐานของพระองค์
พระเจ้าให้เราดำเนินชีวิตอย่างไร
เราต้องรักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต กำลังความรักของเรา เราต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
พระคริสตรักเราอย่างไร ทำไมเราต้องรักผู้อื่น เราต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราต้องรักคนอื่น
เพราะพระองค์ไม่ได้รักเราในขณะที่เราดีพร้อม แต่พระเจ้ายังคงรักเราในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่
ทุกวันนี้เราดำเนินชีวิตอยุ่เพื่ออะไร เรากำลังมองตัวเองมากเกินไปหรือป่าว ซึ่งขีดความสามารถของเรานั้น มีอยู่ 5 ระดับคือ รักคนที่เรารัก หรือคนที่มีประโยชน์ต่อเรา, รักคนที่เขารักเราหรือดีต่อเรา, รักคนที่ด้อยโอกาสและน่าสงสาร, รักคนที่ไม่น่ารัก และ รักคนที่เกลียดหรือเป็นศัตรูกับเรา ซึ่งพระเจ้าต้องการให้เราต้องอวยพรคนที่แช่งด่าเรา นึ้คือความรักที่พระเจ้าต้องการให้เราทำตามแบบอย่าง
แต่สิ่งเหล่านี้พระเจ้ารู้ว่าเรามีความจำกัด ซึ่งเราไม่ได้ใช้ความรัก เหตุผล กำลัง แต่เราใช้ทุกอย่างของพระเจ้า พระเยซูที่มีในเรา เพราะฉะนั้นขีดความสมารถในการรักของเราจะมีมากแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับเรา เรารักพระเจ้าแค่ไหน เรามีชีวิตที่ตีสนิทกับพระเยซูอย่างไร ความสัมพันธ์กับพระเจ้าก็จะเป็นแบบนั้น และเมื่อเรามีความรักของพระเจ้า เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันออกไป หากเราทำสิ่งที่เป็นการประพฤติที่ตรงกันข้ามกับความรัก ความไม่ดีต่างๆ นั้นหมายความว่าเราไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ถ้าหากเรามีความรักเราจะไม่กระทำในสิ่งพวกนี้
ในพระคัมภีร์พูด บ่อยครั้งว่า สิ่งที่ออกจากปาก นี้แหละจะทำให้เราเป็นมลทิน เพราะฉะนั้นขอให้พระเจ้าช่วยเราไม่ให้เราเป็นแบบนี้ ด้วยความรักของพระเจ้า คนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้จะไม่มีส่วนในพระแผ่นดินเยซู และไม่มีมรดกต่อพระเยซู และพระเจ้าจะพิโรธให้คนเหล่านั้นรับผลของการกระทำ และคนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง
ยากอบบอกว่าความเชื่อต้องประกอบด้วยการกระทำ ถ้าเชื่อแค่ปากก็รอดแค่ปาก ขอพระเจ้าช่วยเราให้ความเชื่อของเราผ่านออกทางการกระทำ และให้เรามั่นใจว่ามีส่วนในแผ่นดินของพระองค์
ดำเนินความคิดในความสว่างในพระคริส
ความสว่างที่เราต้องเลียนแบบคือ เราต้องมองไปถึงต้นเหตุของความคิดและปัญหาเหล่านั้นว่ามาจากความบาปหรือป่าว ซึ่งมันไม่ง่ายเลย แต่พระคริสจะทำในใจของเรา เคล็ดลับของพระองค์ คืออย่าคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้น และกิจการงานที่เกี่ยวข้องในสิ่งที่ไม่ดี คือ ไม่ให้เราไปมีส่วนหรือเกี่ยวข้องกับคนสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้ามีเหตุผลที่สำคัญกับเรา เพราะว่าถ้าเรามีบางสิ่งที่เชื่อต่อความบาป ก็อาจทำให้เราประสบปัญหาเหล่านั้นได้ พระเจ้าเชื่อใจเราแต่พระเจ้าไม่มั่นใจกับสถานการ์ณที่เราเจอ ว่าเราจะสามารถรับมือและมีการเปลี่ยนแปลงได้ดีแค่ไหน นี้คือความห่วงใยและเหตุผลในพระเจ้าที่อยากให้เราเดินตามความคิดของพระเจ้า
คัมภีร์ได้บอกว่า ให้เราสำแดงความสว่าง คือความดี ความชอบธรรม ทั้งสิ้น เพื่อเปิดเผยความชั่วร้ายให้สว่างแก่พระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยเรา เพราะเราต้องขอปัญญาแก่พระเจ้า ด้วยพระวจนะของพระเจ้า และดูว่าพระวจนะพูดถึงสิ่งเหล่านี้อย่างไร
แต่...เรายังมีส่วนร่วมได้แต่อย่าใช้โดยความคิดและกำลังของเราเพราะ คนบางประเภทเมื่อเราไม่รู้เท่าถึงสิ่งที่เขาเป็นสิ่งที่เขามีเบื้องหลัง มันอาจทำให้เราตกอยู่ในอันตรายได้
การดำเนินชีวิตในความสว่าง นอกจากความรักแล้ว เราจะต้องตื่นขึ้นมา อย่าสาระวน จนไม่มีเวลามองสิ่งรอบข้าง พระคัมภีร์ กำลังเตือนว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว ในยุคสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องตื่นเพื่อจะได้รู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า
อธิฐาน
ข้าแต่พระบิดาเจ้า พระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอพระเจ้าจงเตือนใจให้ดำเนินชีวิตในความสว่าง และให้ข้าพระองค์ตื่นเพื่อที่จะรู้ในพระทัยของพระเจ้า ให้ข้าพระองค์ ตอบสนองต่อถ้อยคำของพระเจ้า หากมีพระคัมภีร์บางตอนที่กำลังท้าใจข้าพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์ เริ่มต้นการดีตรงนั้น และมีพระวจนะบางตอนที่ให้ข้าพระองค์ละทิ้งบางอย่าง ที่เป็นความบาปผิดในชีวิตของข้าพระองค์ มีบางอย่างที่ท้าทายอยู่แล้วนั้น ให้ทำพัฒนาขึ้นไปอีก ให้ข้าพระองค์ ได้อธิฐานกับพระองค์ ขอพระองค์จงช่วยข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ขอให้คำอธิฐานที่ข้าพระองค์อธิฐาน พระเจ้าจงโปรดอำนวยพร ให้เกิดสิ่งดีในชีวิต ขอพระเจ้าเติมเต็มในชีวิต ขอพระเจ้าเป็นกำลัง อุ้มชูและอยู่เคียงข้างข้าพระองค์ตลอดเวลา ขอบคุณพระองค์ในพระวจนะในวันนี้ ที่ทำให้ข้าพระองค์ได้รู้ในพระทัยของพระองค์มากยิ่งขึ้น ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยให้วันนี้ของข้าพระองค์เป็นวันที่ดี และราบรื่นในการทำธุรกรรมของข้าพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่ทำให้ข้าพระองค์ได้เจอแต่สิ่งดีๆ ขอบคุณพระองค์ที่ทำให้ข้าพระองค์เช่ือและรักในพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวันๆ อธิฐานในนามพระเยซูคริสตเจ้า เอเมน....
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น