ความรู้สึก หลังจากเข้าค่าย encountre
ความรู้สึกที่ข้าพเจ้าได้รับใน 2 วันที่ผ่านมา
ในวันที่ 26 เป็นการเข้าค่ายตอนเย็น ได้รับรู้และระลึกถึงพระเยซู ที่ได้ตายแทนเราอย่างไร ได้รับความเจ็บปวดแค่ไหน ที่พระองค์ยอมตายเพื่อไถ่บาปให้แก่เรา และขอสัมผัสกับพระองค์ในช่วงเวลานั้น แต่ก็ยังรู้สึกเฉยๆกับสิ่งต่างๆที่ได้เห็นมา อาจจะเป็นเพราะว่าเราเคยดูวีดีโอและค้นหาประวัติของพระองค์มาก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นทางค่ายก็มีเอกสาร "ในคืนเงียบ" มาให้เราทำหลังจากกลับบ้าน ในครั้งแรกที่อ่าน ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในคำถาม แต่ข้าพเจ้าก็พยายามเขียนตามความเข้าใจ ซึ่งก็อธิฐานกับพระเจ้าว่าให้ข้าพเจ้า เข้าใจในเอกสารที่จะทำในวันนี้ และสามารถเข้าถึงจิตใจตัวเองและ ความต้องการของพระองค์ที่สื่อให้ข้าพเจ้ารู้ ซึ่งในนั้นข้าพเจ้าก็เขียนทุกสิ่งอย่างที่รู้สึกและเหตุการ์ณต่างๆที่ผ่านมา แต่ก็เขียนไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าก็ได้เข้าไปอาบน้ำ และนั่งทบทวนในสิ่งที่เขียนและพูดกับหน้ากระจก ระบายคำตอบโดยพูดเบาๆในห้องน้ำกับสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักน้ำตาก็ไหล และร้องไห้หนักมากในเรื่องที่ฝั่งใจข้าพเจ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา...
27 พ.ค. 2017
วันนี้เป็นอีกวันที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิดว่าข้าพเจ้าจะได้รับรู้และสัมผัสกับความรู้สึกที่พระองค์ปลดปล่อยข้าพเจ้า มันเหมือนอารมณ์ค้างตั้งแต่เมื่อคืนที่เขียนเรื่องราวต่างๆลงไป ด้วยความรู้สึกเสียใจต่างๆมากมายที่พรั่งพรูออกมาเป็นตัวหนังสือ
เมื่อเริ่มนมัสการพระเจ้า ข้าพเจ้าก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่พยายามบอกกับตัวเองว่า "อย่าร้องไห้น่ะ" เพราะเรารู้สึกอายที่จะมีคนเห็นเราร้องไห้ เมื่อถึงช่วงเวลาบรรยายเกี่ยวกับความบาดเจ็บในจิตใจ ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกจุก และ เหมือนความรู้สึกมันตีขึ้นมาในใจมากขึ้น ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรต่อเรื่องอะไร ผุดขึ้นมาในหัวสมองมากมาย จนบรรยายเสร็จและนมัสการพระเจ้าอีกครั้ง อยู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมาเองแบบไม่หยุด ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตัวเองร้องไห้ออกมาทำไม อายเขาไหม ร้องทำไม??? ถามตัวเองในใจตลอดช่วงเวลานมัสการ จนถึงช่วงแชร์ความรู้สึก ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถทำให้น้ำตาหยุดได้ ช่วงเวลานี้ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถแชร์ให้ใครฟังได้ ว่าร้องไห้เพราะอะไร รู้แต่ว่าตัวเองเสียใจมาก ความรู้สึกนี้ไม่หายออกไปจากสมองจน ถึงช่วงแชร์เกี่ยวกับพ่อ ความทรงจำที่สัมผัสกับพ่อ
(ข้าพเจ้ามีความทรงจำไม่มากนักกับพ่อ
ช่วงเวลาเด็กๆ พ่อแม่ข้าพเจ้าขายของไปที่ต่างๆ ซึ่งไม่มีเวลาดูแลลูกทุกคนได้ จึงพาข้าพเจ้าและพี่สาวอีกคนไปอยู่กับญาติ ได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆก็ไม่กี่ปี
ที่จำความรู้สึกได้คือ พ่อข้าพเจ้าเป็นคนใจดี พ่อขี้เล่น และพ่อไม่เคยตีลูกคนนี้เลย นอกจากว่ากล่าวตักเตือน ครอบครัวในตอนนั้นถือว่าฐานะปานกลาง มีบ้าน มีรถ จากการขายของ ตอนนั้นพ่อและแม่กินเหล้า มีการทะเลาะให้เห็นบ่อยๆ พ่อตีแม่ พ่อแม่เมาทุกวัน ในบ้านมีแต่กลิ่นเหล้า กลิ่นอ๊วก ช่วงเวลานั้นมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ดีเลย แต่นั้นก็ผ่านมานานมาก จนบางทีอาจจำไม่ได้แล้วว่า บรรยากาศแบบนั้นมั้นเป็นยังไง
จนวันหนึ่งที่พ่อต้องเข้า รพ.เพราะพิษเหล้า ช่วงนั้น แม่ก็พาพ่อไปรักษา ที่ รพ. สมัยนั้นมือถือไม่มีแบบสมัยนี้ ใช้แต่โทรศัพท์บ้าน เลยค่อนข้างจะติดต่อกับแม่ยาก
จนวันที่ข้าพเจ้าจบการศึกษา ผลการเรียนที่ได้เป็นที่น่าพอใจของข้าพเจ้ามาก และวันนั้นเป็นวันที่ข้าพเจ้ามีความสุขมาก หัวเราะมีความสุขกับเพื่อนตลอดเวลา และดีใจที่จะเอาผลการเรียนนี้ไปอวดพ่อที่ยู่ รพ. แต่อย่างที่หลายๆคนบอก ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน เมื่อข้าพเจ้าถึงบ้าน ก็ต้องได้รับข่าวร้ายจากญาติที่มาบอกเรา ว่าทำใจดีๆน่ะ พ่อเสียแล้ว ตอนนั่นยังไม่เชื่อหูตัวเอง เหมือนกับว่าเราช๊อคกับสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งคำนี้ยังก้องอยุ่ในหูทุกครั้งที่คิดถึงพ่อ นี้คือความทรงจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สำหรับช่วงเวลาตอนนั้น...)
หลังจากกลับจากค่ายนั่งถามตัวเองว่าวันนี้เราได้อะไรจากค่ายนี้บ้าง ก็มานั่งทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมเราถึงร้องไห้ ได้มากมายขนาดนั้น ตอนนี้ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจแล้วว่า
พระเจ้ากำลังตอบและเยียวยาความรู้สึกเสียใจนี้ให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ผ่านการบรรยายว่าข้าพเจ้าร้องให้ทำไม ซึ่งเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันกระทบกระเทือนจิตใจข้าพเจ้าอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการ์ณนั้น เมื่อไหร่ที่ข้าพเจ้ามีความสุขมากๆ ข้าพเจ้าจะบอกกับตัวเองและเพื่อนทุกครั้งว่า "อย่าหัวเราะมากเดี๋ยวมีเรื่องเศร้า" คำนี้ติดปากเรามาตลอดจนกลายเป็นว่า เราไม่กล้าที่จะมีความสุขมากในชีวิต
เรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักถึงคำพูดของตัวเองที่ชอบพูดขัดคนอื่น พูดไม่ดี ชอบพูดไม่ให้กำลังใจตัวเอง ไม่ให้กำลังใจคนอื่น ชอบกระแหนะกระแหน่ ปฎิเสฐความดีของตัวเอง ชอบว่าตัวเอง รู้สึกไม่ยินดีเมื่อคนอื่นชม เก็บกดความรู้สึกตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่สามารถสู้คนอื่นได้ ไม่สวยพอที่ใครจะชอบ ที่บ้านฐานะไม่ดีพอที่ใครจะมาขอแต่งงาน กลัวการที่จะรู้จักใครสักคนที่เข้ามาในชีวิต เพราะเคยผิดหวังจากการให้โอกาสตัวเองในการเปิดใจ ไม่กล้าที่จะคบใคร เพราะคำถามติดอยู่ในใจตลอดเวลา กลัวผิดหวังเพราะเวลาหวังกับอะไรสักอย่างก็จะหวังกับสิ่งนั้นเยอะมาก จนล้น จนอยากได้ตอนนั้น เดี๋ยวนั้นเลย เมื่อผิดหวังเลยกลายเป็นคนให้อภัยยาก เพราะสิ่งที่เราคิด กลับเป็นสิ่งที่ไม่เป็นดังใจคิดไว้...
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ลูกรู้ว่าลูกควรจะเยียวยาความรู้สึกตัวเอง เปลี่ยนตัวเองอย่างไร ขอบคุณพี่โรส พี่ยุ ที่มาประกาศเรื่องราวของพระเจ้าให้ลูกได้รู้ ขอบคุณพี่ยุที่ประกาศความดีของพระองค์ให้ลูกได้ซึมซับในทุกๆวันและทำให้ลูกอยากเข้าไปสัมผัสกับพระเจ้า และสั่งสอนลูกให้รู้วิธีการดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้าในทางที่ถูกต้อง และสตรองที่จะรักพระเจ้าตลอดไปโดยการอ่านพระคัมภีร์และพูดคุยกับพระเจ้าผ่านการเฝ้าเดี่ยว
ขอบคุณอาจาร์ยปุ่นและพี่เอก ที่ตอบคำถามในทุกเรื่องราวที่ลูกสงสัย ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ขอบคุณทุกคนในคริสตจักรในการช่วยเหลือและอฐิฐานเผื่อในทุกๆเรื่อง
และสุดท้ายนี้ พระเจ้าบอกเราเสมอว่าเราทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้ารักเราที่เราเป็นคนบาปที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิต สั่งสอนเราผ่านพระคำของพระองค์ให้เราเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยในทุกๆวัน เพราะฉะนั้น ข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะจำในความทรงจำครั้งนี้คือ หากเราเจอคนที่รักและเชื่อในพระเจ้า มีพฤติกรรมที่ไม่ได้เป็นไปในทางของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นนิสัย คำพูด การกระทำที่ขัดกับความคิดของพระเจ้า ขอให้เราจำเอาไว้ว่าบุคคลคนนั้นกำลังหลงทาง มารกำลังดึงเขาออกห่างจากความรอด เราแค่อฐิฐานช่วยเขาให้เขาได้กลับมาสู่ทางเดินของพระเจ้าเหมือนเดิม ถ้ามีโอกาสก็ช่วยให้เขากลับใจใหม่ ให้เข้ามาในทางของพระเจ้าอีกครั้ง.... เอเมน
สุดใจ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น